ยาฉะฮิเมะ เจ้าหญิงครึ่งอสูร อีกหนึ่ง อนิเมที่น่าสนใจ ของปี 2020 - 2021

ยาฉะฮิเมะ เจ้าหญิงครึ่งอสูร อีกหนึ่ง อนิเมที่น่าสนใจ ของปี 2020 - 2021


 

ยาฉะฮิเมะ เจ้าหญิงครึ่งอสูร เป็น อนิเมที่น่าสนใจ อีกเรื่องหนึ่งของปี 2020 - 2021 ที่เรียกกระแสฮือฮาตั้งแต่เริ่มประกาศโปรเจคสร้าง เพราะนี่ถือเป็นภาคต่ออย่างเป็นทางการของอินุยาฉะ อนิเมดังแห่งยุคอีกเรื่องหนึ่งที่หลังจากจบชุดสมบูรณ์ไปแล้วก็ไม่มีข่าวคราวอะไรออกมาอีกเลยนานนับสิบปี แต่เมื่อมีการประกาศสร้างภาคต่อโดยจับเอาเรื่องราวรุ่นลูกของอินุยาฉะและเส็ตโชมารูมาเป็นธีมหลักของเรื่อง ก็ทำให้ผลงานเรื่องนี้ถูกแฟนๆ ทั่วโลกจับตามองอยู่ไม่น้อย

เพราะมันคือภาคต่อของอินุยาฉะ

ถึงแม้เราจะรู้ดีว่าผลงานของ ทาคาฮาชิ รูมิโกะ นั้นจะถือได้ว่าเป็นมาสเตอร์พีชที่ทำออกมากี่เรื่องก็ดังทุกเรื่อง แต่ส่วนใหญ่ก็จะประสบความสำเร็จในตลาดญี่ปุ่นหรือเอเชียเป็นหลัก เพราะสมัยก่อน ลิขสิทธิ์ญี่ปุ่นยังไม่ได้ไปไกลมากนัก และอินเตอร์เน็ตก็ยังไม่บูมในช่วงยุคทองของ อ.ทาคาฮาชิด้วย (80s - 90s) ทว่าอินุยาฉะนั้นกลับเป็นผลงานของ อ.รูมิโกะเรื่องแรกๆ ที่ดังในระดับสากลแบบ World Wide จริงๆ นอกจากจะมีการซื้อสิทธิ์ไปตีพิมพ์ (คอมมิค) และออกอากาศ (อนิเม) ทั่วโลกแล้ว จนถึงตอนนี้ก็ยังมีให้ดูกันแบบสตรีมมิ่งด้วย ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่จะมีคนจับตารอดูภาคต่อของอินุยาฉะกันอยู่ไม่น้อยทีเดียว

และถึงแม้ว่าจะเป็นภาคต่อ แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้สร้างจากต้นฉบับคอมมิค แต่อาศัยเค้าโครงจาก อ.ทาคาฮาชิ รูมิโกะ ที่ช่วยวางพล็อตหลักและออกแบบตัวละครให้ พูดถึงเรื่องราวรุ่นลูกของอินุยาฉะและเส็ตโชมารู โดยตัวเส็ตโชมารูมารุนั้นจะมีลูกแฝดสาวสองคนคือ โทวะและ เซ็ตสึนะ ทว่าด้วยสาเหตุบางอย่างทำให้โทวะถูกส่งมายังโลกยุคปัจจุบันและถูกเลี้ยงดูโดยน้องชายของคาโงเมะจนกระทั่งเติบโตและได้พบกับเซ็ตสึนะที่โตขึ้นกลายเป็นคนเย็นชาแถมยังถูกคำสาปของผีเสื้อราตรีทำให้ไม่สามารถนอนหลับได้อีก โทวะจึงต้องผจญภัยไปในยุคเซ็นโงคุเพื่อหาทางถอนคำสาป โดยมีเรื่องราวความขัดแย้งระหว่างพ่อของเธอกับจอมปีศาจคิรินมารุอยู่เบื้องหลัง

โมโรฮะ ตัวขโมยซีน

              แม้ตัวเอกหลักของเรื่องจะเป็น โทวะและ เซ็ตสึนะ ลูกแฝดของเส็ตโชมารู(อสูร)กับริน(มนุษย์) ทว่าตัวละครเด่นอีกคนที่ดูเหมือนจะมีบทบาทไม่น้อยกว่าโทวะและ เซ็ตสึนะเลยก็คือ โมโรฮะ ลูกสาวของอินุยาฉะ(ครึ่งอสูร) และ คาโงเมะ (มนุษย์) ซึ่งตัวโมโรฮะนั้นเหมือนถอดนิสัยมาจากอินุยาฉะ และมีทั้งพลังอสูรจากอินุยาฉะ และพลังมิโกะของคาโงเมะรวมอยู่ด้วยกัน ทว่าด้วยความที่มีพลังอสูรแค่ 1 ใน 4 ดังนั้นเรื่องความสามารถอาจเทียบกับรุ่นพ่อแม่ไม่ได้ ความสามารถพิเศษของเจ้าตัว (เบนิยาฉะ) ก็มีข้อจำกัด ส่วนโทวะและ เซ็ตสึนะเองก็เช่นกันครับ ทั้งสองเป็นลูกครึ่งอสูร แถมตัวโทวะเองก็เพิ่งใช้พลังพิเศษได้ไม่นานนัก ถ้ามองในแง่สเกลพลังแล้ว เรื่องนี้ค่อนข้างเป็นรองอินุยาฉะอยู่ระดับหนึ่ง

ลูกแก้วเจ็ดสี กับเรื่องราวความขัดแย้งตั้งแต่รุ่นปู่

              ถ้าเรื่องราวของอินุยาฉะคือการตามหาลูกแก้วสี่วิญญาณ ยาฉะฮิเมะก็คือการเดินทางเพื่อรวบรวมลูกแก้วเจ็ดสี ซึ่งโทวะครองลูกแก้วสีทอง เซ็ตสึนะถือครองลูกแก้วสีเงิน และโมโรฮะถือครองลูกแก้วสีแดงเอาไว้ และในเรื่องก็ยังไม่ได้บอกชัดเจนว่า พลังที่แท้จริงของลูกแก้วทั้งเจ็ดคืออะไรกันแน่ (ที่แน่ๆ คงไม่ได้เรียกเทพเจ้ามังกรออกมาขอพรแน่ๆ ล่ะ) แต่เราก็ได้เห็นลูกแก้วสีอื่นปรากฏตัวในเรื่องแล้ว และหลายครั้งก็มีคนที่พยายามมาแย่งลูกแก้วของพวกโทวะด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นก็มีลูกสมุนของคิรินมารุ บอสใหญ่ของซีรี่ส์นี้ ซึ่งคิรินมารุนั้นเป็นปีศาจที่มีพลังระดับเดียวกับบิดาของอินุยาฉะและและเส็ตโชมารู โดยเดิมทีทั้งสองต่างก็แบ่งเขตแดนปกครองไม่ยุ่งเกี่ยวกัน (เพราะทั้งสองต่างก็มีพลังที่ทัดเทียมกัน) แต่เมื่อพ่อของอินุยาฉะไม่อยู่แล้ว คิริมารุจึงต้องการขยายอาณาเขตปกครองของตนซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ของเหล่าปีศาจในภาคนี้นั่นเอง

การ์ตูนครอบครัว กับกระแสตอบรับที่หลากหลาย

              อย่างที่บอกว่า เรื่องนี้แม้จะได้ชื่อว่าเป็นผลงานของ อ.ทาคาฮาชิ รูมิโกะ แต่ก็ไม่ได้สร้างจากต้นฉบับคอมมิค เป็นออริจินอลอนิเมที่ อ.ทาคาฮาชิออกแบบตัวละครและวางโครงเรื่องให้เท่านั้น เนื้อเรื่องจริงๆ เป็นการเขียนบทของทีมงานซันไรส์ ซึ่งทางทีมงารก็ทำออกมาให้มีเนื้อหาเป็นอนิเมครอบครัวดูได้ทุกเพศทุกวัย เพราะออกอากาศในสล็อตเย็นวันเสาร์เวลาต่อเนื่องกับเรื่องยอดนักสืบโคนัน เนื้อหาจึงออกมาในแนวปราบปีศาจจบเป็นตอนๆ ไป ไม่ได้มีเนื้อเรื่องที่ซับซ้อน ดราม่าปวดตับ หรือฉากต่อสู้ที่อลังการอะไรนัก ซึ่งแฟนๆ อินุยาฉะบางคนอาจจะไม่ชอบเท่าไหร่ (เมื่อนำไปเปรียบกับอินุยาฉะ ที่ดูมีสีสันมากกว่า) แต่หากมองที่ตัวเรตติ้งที่ออกมาแล้วถือว่าค่อนข้างดี โดยที่อนิเมเรื่องนี้ เป็นอนิเมที่มียอดผู้ชมทางจอโทรทัศน์ในญี่ปุ่นสูงเป็นอันดับ 4 รองจากซาซาเอะซัง จิบิมารูโกะจัง และยอดนักสืบโคนัน (อ้างอิงจาก Video Research) และมีผู้ชมทางหน้าจอโทรทัศน์มากกว่าวันพีชกับโดราเอม่อนด้วยนะ ซึ่งก็ถือว่า ประสบความสำเร็จพอสมควรทีเดียว

              อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลังๆ ของเนื้อเรื่อง ก็ดูเหมือนจะทำมาเอาใจแฟนๆดั้งเดิมของอินุยาฉะมากขึ้น ตั้งแต่การให้เส็ตโชมารูเริ่มกลับมามีบทบาทในเนื้อเรื่อง เริ่มมีการพูดถึงอินุยาฉะและคาโงเมะว่าหายไปไหน รวมถึงตัวละครเก่าๆ ที่แฟนๆ คิดถึงก็เริ่มกลับมามีบทบาทในเรื่องนี้ ซึ่งก็ช่วยให้เนื้อเรื่องในช่วงครึ่งหลัง ดูมีสีสันมากขึ้นกว่าเดิมพอสมควร

เรื่องนี้ไม่มีพระเอก?

              จริงๆ ผลงานของ อ.ทาคาฮาชินั้น ก็มีประเด็นเรื่อง feminism แฝงอยู่ไม่น้อย แต่สำหรับเรื่องยาฉะฮิเมะนั้นน่าสนใจตรงที่เป็นเรื่องของเด็กสาวสามคนที่กำพร้าพ่อแม่ (จริงๆ พ่อแม่ยังไม่ตาย แต่ก็มีเหตุให้ต้องแยกจากพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก) และเติบโตมาในแบบเด็กผู้ชายเหมือนกัน (แต่คนละสไตล์) ซึ่งตัวโทวะนี่มาในสไตล์สาวหล่อเลย และจนถึงตอนนี้ก็ดูเหมือนว่า ทั้งสามดูเหมือนจะไม่สนใจเพศตรงข้ามเลยด้วย ตัวเซ็ตสึนะนั้นค่อนข้างชัดเจนว่าไม่สนใจใครเลย ในขณะที่ตัวโทวะนั้นดูเหมือนจะเป็นห่วงน้องสาวฝาแฝดอย่างเซ็ทสึนะมาก และโมโรฮะนั้นก็มาสไตล์เด็กผู้ชายซนๆ ห้าวๆ หรือถอดนิสัยอินุยาฉะมาอยู่ในร่างเด็กผู้หญิงเลยครับ ก็ถือว่าแปลกดีเหมือนกันถ้าเทียบกับงานของ อ.ทาคาฮาชิ รูมิโกะเรื่องอื่นๆ ที่มักจะมีเรื่องความรักเป็นแกนหลักของเรื่อง (แต่ก็อย่างที่บอกแต่แรกครับ ว่า อ.ทาคาฮาชิไม่ได้แต่งเนื้อเรื่อง แต่ช่วยดูโครงเรื่องให้เท่านั้น)

ซันไรส์ไม่ได้มีดีแค่กันดั้ม

ภาพลักษณ์ของสตูดิโอซันไรส์มักถูกเชื่อมโยงกับการ์ตูนหุ่นยนต์ โดยเฉาพะกันดั้มที่แทบจะกลายเป็นภาพจำของค่ายนี้ไปแล้ว แต่อย่างที่เรารู้กันดีว่าอันที่จริงซันไรส์ยังทำอนิเมสายโชเน็นเจ๋งๆ อีกเยอะ เรื่องหนึ่งที่เรารู้จักกันดีก็คือ กินทามะของค่ายชูเอย์ฉะ (จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ในกินทามะมักเอากันดั้มมาล้อบ่อยๆ แบบไม่เกรงใจใคร) และอีกเรื่องหนึ่งก็คือ อินุยาฉะของค่ายโชกักกุคัง ที่สร้างเป็นอนิเมมาตั้งแต่ปี 2000 มาจนถึงภาคสุดท้าย( The Final Act ) จบในปี 2010 ซึ่งตัวอนิเมนั้นประสบความสำเร็จ ได้รับความนิยมไปทั่วโลก จึงไม่น่าแปลกใจที่ โปรเจคยาฉะฮิเมะ จะกลับมาอยู่ในมือซันไรส์อีกครั้ง โดยตัวผู้กำกับ ซาโต้ เทรุโอะ นั้นก็เคยมีส่วนร่วมในการผลิตอนิเมชั่นอินุยาฉะมาก่อนด้วย เรียกได้ว่าคุ้นมือกับซีรี่ส์นี้ดีทีเดียว