คุยกันหลังชม Hathaway’s Flash
นี่ไม่ใช่การรีวิวหนังแบบปกติทั่วๆไป แต่มันคือความอยาก...อยากคุย ในฐานะแฟนกันดั้ม แฟนที่เพิ่งที่ได้ดูหนังกันดั้มจบหมาดๆ แล้วอยากมาคุยกับคนที่รักกันดั้ม หรือใครก็ตามที่เราอยากให้เขารักกันดั้มเหมือนเรา
หลังโดนผลกระทบจาก COVID19 ทำให้ภาพยนตร์แอนิเมชันจอเงินภาคล่าสุดของ กันดั้มอย่าง Hathaway’s Flash มีอันต้องเลื่อนกำหนดการฉายในญี่ปุ่นออกไปจากเดิม แถมเมื่อเลื่อนออกมาแล้วสถานการณ์โรคระบาดก็ยังไม่ดีขึ้นนัก ทางญี่ปุ่นจึงตัดสินใจฉายในรูปแบบ Road Show ในประเทศไปเมื่อกลางเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา และนำหนังลง Netflix เพื่อฉายพร้อมกันในหลายประเทศทั่วโลกในวันที่ 1 กรกฎาคม 2021
ในแง่ของคุณภาพงานสร้าง เนื่องจากจริงๆแอนิเมชันเรื่องนี้ถูกสร้างมาเพื่อฉายในโรงภาพยนตร์ ดังนั้นจึงมีคุณภาพที่ดีกว่าทีวีซีรีย์อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ในวันที่ทราบว่าหนังจะสร้างเป็นไตรภาคตามนิยายต้นฉบับ บอกตรงๆว่าครั้งแรกแอบคิดว่า... “มันจะสนุกเหรอ?” เพราะแบ็คกราวด์ของหนังเป็นความขัดแย้งทางการเมือง แถมแอบแฝงไว้ด้วยแนวคิดเรื่องช่องว่างระหว่างวัย นอกจากนี้บุคลิกของ Hathaway ที่ปรากฏในภาค CCA (Char’s Counter Attack) ยังไม่ค่อยน่าศรัทธา(จริงๆออกไปทางน่ารำคาญด้วยซ้ำ) และการปะทะกันของโมบิลสูทก็ไม่ได้ใหญ่โตในระดับที่จะเรียกได้ว่าเป็นสงคราม เพราะมาฟตี้นั้นเป็นแค่องค์กรก่อการร้าย ไม่ใช่กองทัพแบบซีออน หรือเนโอซีออน เหมือนในภาคที่ผ่านๆมา
เมื่อได้เปิดหนังดู... แรกๆ ก็เฉยๆครับ แม้ฉากบู๊เปิดตัวบนชัตเตอร์จะทำได้สนุกและลื่นไหลดี แต่สิ่งที่ผมและแฟนๆหลายๆคนรอคอยคงจะเป็นฉากการปะทะกันของโมบิลสูทมากกว่า ฉากนี้จึงเข้าข่ายแค่ทำดีเสมอตัว
จริง ๆ ตอนที่เห็นเจ้า Gaplant โฉบเข้ามาเพื่อปล่อยเหล่า Hijacker นั้นผมยังตื่นเต้นกว่าตอนยิงกันอีก หลังจากเครื่องลงจอดหนังก็จะเข้าสู่ phase การคุยกันเป็นส่วนใหญ่ แต่ต้องยอมรับว่าผู้กำกับดึงส่วนดี ส่วนเด่นของแคแรกเตอร์หลักออกมาเสริมให้การเล่าเรื่องน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นบุคลิกสาวฉลาดล้ำ แข็งแกร่งและเหมือนจะไม่เคยแคร์อะไร ด้วยวัยเพียง 19 แต่เราสัมผัสได้โดยไม่ต้องมีการบรรยายว่า Gigi นั้นต้องผ่านอะไรมาเยอะมาก หรือเพลย์บอยอย่างผู้การ Kenneth ที่ไม่ใช่มีดีแค่ขี้หลี แต่ก็แอบคมในฝักและเป็นนายทหารระดับบัญชาการที่มีความสามารถสูงคนนึง และที่สำคัญก็คือบุคลิกของตัว Hathaway เอง ที่แม้จะดูเติบใหญ่ เด็ดเดี่ยว มั่นใจและมีความเป็นผู้นำ แต่ก็ยังแสดงถึงอีกมุมนึงที่เป็นคนใจอ่อนและอ่อนโยนมากๆ รวมถึงปูมหลังสมัย CCA ที่ยังเป็นบาดแผลในใจของเขามาจนทุกวันนี้ ซึ่งการใช้ตัวละครหลักที่กล่าวมาได้เป็นอย่างดีในการดำเนินเรื่องช่วงต้นนี้ ช่วยให้ช่วงที่ควรจะน่าเบื่อมาก ๆ สามารถประคับประคองตัวให้ไม่น่าเบื่อจนเกินไป และเมื่อมาถึงฉากถล่มโรงแรมกลางดึก นั่นคือทุกสิ่งทุกอย่างที่รอคอยมาตลอดทั้งเรื่องได้ระเบิดออกมา แม้ฉากการต่อสู้จะไม่ใช่สงครามใหญ่ แต่ก็ทำออกมาได้อลังการ ซึ่งน่าเสียดายมากที่ฉากแบบนี้เราไม่ได้เห็นในจอใหญ่ๆของโรงภาพยนตร์ นอกจากนี้มุมกล้องและ Production Design ที่สวยงามก็ยิ่งทำให้ฉากนี้เป็นฉากที่น่าประทับใจมากๆ
เสียดายนิดนึงที่การเปิดตัวของ Penelope ไม่อลังค์อย่างที่หวัง แต่ฉากเบ๊ตีกันก็ซื้อใจไปได้เต็มๆ ต่อเนื่องไปจนถึงตอนที่ออกไปรับ XI (คุชี) เหนือชั้นบรรยากาศโลก และฉากท้ายสุดที่จะไม่กล่าวถึงไม่ได้เลยก็คือ ศึกครั้งแรกของพี่น้องกันดั้ม ที่แม้จะมีโมบิลสูทแค่ไม่กี่ตัวปรากฏตัวในฉากนี้ แต่มันก็ทำหน้าที่ไคลแมกซ์ของหนังได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
และนอกเหนือจากการดำเนินเรื่องแล้ว หนังยังกล่าวถึงเกร็ดต่างๆในโลกของกันดั้มให้แฟน ๆ ได้แอบซีดกันเพิ่มอีก เช่นการพูดถึง Anaheim Electronics องค์กรที่เป็นผู้วิจัย – พัฒนาโมบิลสูทที่สำคัญในศักราชอวกาศของกันดั้ม ซึ่งในภาคนี้เป็นผู้สร้างกันดั้มทั้งสองตัวให้กับทั้งฝ่ายสหพันธ์โลกและมาฟตี้ การกล่าวถึงระบบไมนอฟสกี้คราฟท์ที่ทำให้พี่น้องกันดั้มบินได้อย่างอิสระในบรรยากาศโลก ไม่ต้องกระโดดหรือแปลงร่างเป็นเวฟไรเดอร์ หรือมุกกันดั้มปลอมของ Lene Aime ที่แอบฮา หึ ๆ อยู่ลึก ๆ และที่สำคัญยังมีหุ่นเบ๊สุดเท่อย่าง Messer ที่หากสังเกตุดี ๆ เราจะเห็นว่ามีรุ่นย่อยถึง 3 รุ่น (เตรียมให้ลุงขายของเต็มที่) หรือเบ๊ในรูปแบบแปลกๆ อย่าง Jegan รุ่นปราบจราจล หรือรุ่นดับเพลิง ก็เป็นสีสันที่ดีงามมาก ๆ อีกจุดนึง
ผมคงจะไม่ให้คะแนน หรือตัดสินหนังเรื่องนี้ว่าดีหรือไม่ดี สมควรจะได้คะแนนเท่าไหร่ แต่บอกได้เลยว่าในแง่ของแฟนคนนึง แม้จะไม่ได้สมหวังไปเสียทั้งหมด แต่หนังก็ได้ใจและคงจะทำให้บริษัทขายของเล่นพลอยได้ตังค์ไปอีกด้วยแน่ๆ แล้วคุณล่ะครับ ดูแล้วรู้สึกยังไง ment มาคุยกันได้นะครับ