Robot Freak Votoms

Robot Freak Votoms


Ryosuke Takahashi2 

Armored Trooper Votoms 

หลังประสบความสำเร็จกับดั๊กแกรม ทากาฮาชิก็สร้างอะนิเมชั่นแนวหุ่นยนต์เรื่องต่อไป ที่มืดมนกว่าเดิม จริงจังกว่าเดิม Armored Trooper Votoms (1983)เรื่องของคิริโก้ คิววี่ ที่เกิดและเติบโตมาบนโลกที่มีสงครามมาตั้งแต่เขาเกิด แล้วจู่ๆวันหนึ่งสงครามก็จบ แต่สำหรับเขานั่นกลับเป็นการเริ่มต้นของสงครามที่ดูเหมือนจะติดตามเขาไปตลอดกาล 

 

 

 

“ผมเริ่มต้นทำโวทอมส์ด้วยความคิดที่ติดอยู่ในใจอย่างหนึ่งมาตั้งแต่ดั๊กแกรม นั่นคือขนาดของหุ่นในเรื่อง หุ่นในดั๊กแกรมสูงประมาณ 10 เมตร ซึ่งในแง่การทำอะนิเมชั่นคุณจะทำออกมาให้ดูเล็ก หรือใหญ่ก็ได้ ซึ่งมันไม่ดีในแง่ความรู้สึกเกี่ยวกับขนาดของหุ่น ปัญหาอีกข้อก็คือความเร็วของหุ่นที่มีขนาดเท่านี้  เมื่อเทียบกับ กันดั้ม ที่ฉากสู้ส่วนใหญ่เกิดในอวกาศ และการเคลื่อนที่ดูเร็วมาก ดั๊กแกรมมีฉากการต่อสู้อยู่บนดิน และการเคลื่อนไหวก็ไม่รวดเร็ว  ผลงานเรื่องที่สองผมจึงอยากจะแก้ปัญหาทั้งขนาดและความเร็ว  จากความคิดนี้ผมก็เลยมาคิดว่าจริงๆแล้วหุ่นควรจะสูงสักเท่าไร  ก็น่าจะราวๆ 2-5 เมตร ถ้า 2 เมตร  คนญี่ปุ่นตัวเล็กๆก็คงจะขับมันได้ แต่ขนาด 2 เมตรมันก็ดูจะเป็นเพาเวอร์ดสูท มากกว่าหุ่นเต็มตัว แล้วตอนนั้นเพาเวอร์ดสูท เพาเวอร์ดอาร์เมอร์ก็กำลังฮิท ผมก็เลยคิดว่า ความสูงเท่านี้ไม่ใช่หุ่นแล้ว แต่เป็นเพาเวอร์ดสูท มันเล็กไป แต่ถ้าสูง 5 เมตร เวลาเอาไปวาดอะนิเมะ มันก็จะดูไม่ต่างกับดั๊กแกรมที่สูง 10 เมตรสักเท่าไร  คนจะไม่เห็นความแตกต่างเมื่อเป็นอะนิเมชั่น ผมเลยคิดว่า 4 เมตรน่าจะเหมาะกว่า ขณะเดียวกันคุณโอคาวาร่าก็คิดถึงปัญหานี้เหมือนกัน และก็เห็นด้วยว่า ความสูง 4 เมตรนั่นเล็กสุดแล้วสำหรับหุ่นที่มีคนบังคับข้างใน เราเห็นพ้องกัน แล้วก็เริ่มทำงานจากแนวคิดของหุ่นที่สูง 4 เมตร” 

 

 

 

“ส่วนการเคลื่อนที่ด้วยการลื่นไถล ก็เพื่อเพิ่มความเร็วให้หุ่น สิ่งที่ผมกังวลคือ การใส่ล้อไปใต้เท้าหุ่น จะทำให้หุ่นดูเหมือนของเด็กเล่นหรือเปล่า เพราะสมัยผมยังเด็ก ของเล่นสังกะสีที่ผมมีล้วนแต่มีล้ออยู่ใต้เท้าทั้งนั้น เพื่อแก้ปัญหานี้ผมเลยใส่ซาวด์เอฟเฟคท์ลงไป ให้มันดูสมจริงและโหดขึ้น  มีคนหาว่าการที่ทำให้หุ่นเคลื่อนไหวแบบนี้ก็เพื่อจะได้ไม่ต้องมาวาดหุ่นให้เดินให้เสียเงินมากขึ้น นั่นไม่จริงเลย เพราะดั๊กแกรมประสบความสำเร็จมาก เราเลยมีทุนพอจะจ้างคนมาวาดให้หุ่นเดินทีละก้าวก็ยังได้ เพราะงั้นการเคลื่อนที่แบบลื่นไถลของหุ่นจึงไม่ได้มีสาเหตุเรื่องค่าใช้จ่าย แต่เป็นการเพิ่มความเร็วให้หุ่นล้วนๆ” 

 

 

 

 

“ในส่วนของเนื้อเรื่อง ผมตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเล่าเรื่องไหนดีระหว่างทหารที่ยังอยู่ในระบบ กับ คนที่เป็นอิสระอย่างแท้จริง ซึ่งไม่ขึ้นอยู่กับกลุ่มไหน หรือฝ่ายใด เลยไปปรึกษาคุณโยชิยูกิ โทมิโนะ ว่าจะเอาแนวไหนดี เขาก็เสนอว่า เสรีชนสิดี ผมก็เลยเขียนตามแนวนั้น แต่ก็มาติดว่า แล้วไหงคนที่ไม่ได้อยู่ในกองทัพจึงต้องไปไหนมาไหนโดยมีหุ่นขับด้วยล่ะ  ผมได้ไอเดียจากหนังของ สตีฟ แม็คควีน เรื่อง Junior Bonner(1972) ที่เดินทางไปตามเมืองต่างๆพร้อมม้าคู่ใจเพื่อร่วมแข่งโรดีโอเลี้ยงชีพ  คิริโก้เลยเดินทางไปตามเมืองต่างๆ พร้อมหุ่นคู่ใจเพื่อประลองในสังเวียนหุ่นเลี้ยงชีพ เขาจึงยังขับหุ่นได้โดยไม่ได้เป็นทหาร ส่วนสังเวียนหุ่นรบผมได้ไอเดียจากมวยปล้ำอาชีพ กับประสบการณ์ที่เห็นมาช่วงหลังสงครามโลก รถจี๊ปที่ทหารเคยใช้ในช่วงสงครามกลายเป็นของที่เห็นคนใช้กันทั่วไป หุ่นรบเมื่อจบสงครามแล้วก็น่าจะถูกเอามาใช้อย่างอื่นกันบ้างแหละ”